แบบทดสอบ เอนเีนียแกรมเพื่อคนหาความเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณ

http://dekisugi.net/enneagram/profiles.jsp?id=5
ทำแบบทดสอบกันได้ที่

http://dekisugi.net/enneagram/

Type Five

แรงจูงใจ

ต้องการเป็นคนมีความสามารถ ชำนาญในวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นพิเศษ ชอบค้นหาความจริง ไม่ถูกใครรบกวน และละความต้องการของตัวเอง

“ไทป์ห้า” เป็นไทป์ของอัจฉริยะ และคนเสียสติ เป็นไทป์ของคนที่เข้าใจสิ่งต่าง ๆได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นไปได้ทั้งอัจฉริยะ และคนเสียสติ อัจฉริยภาพนั้นอาจดูหลุดโลกไปบ้าง เป็นเพราะมันคือการเข้าใจความเป็นจริงในระดับที่สูงกว่าคนทั่วไป แต่ไม่ใช่คนบ้าที่ลึกซึ้ง แต่หลุดออกจากโลกแห่งความเป็นจริงอย่างไม่มีวันหวนกลับ การศึกษาไทป์นี้ ก็คือการหาความแตกต่างในความเหมือนของอัจฉริยภาพ กับวิกลจริตนั่นเอง

บุคคลตัวอย่าง

Albert Einstien, Stephen Hawking(นักฟิสิกส์), Friedrich Nietzsche(ปราชญ์ชาวเยอรมัน), Stanley Kubrick, Geogria O’Keeffe(จิตรกร), Emily Dickinson(กวีอเมริกัน), Simone Weil(กวีชาวฝรั่งเศส), Bill Gates, Jean-Paul Sartre(ปราชญ์ชาวฝรั่งเศส), Jacob Bronowski, James Joyce(นักเขียนชาวไอริช), Gary Larson, David Lynch, Stephen King(นักเขียนนิยายสยองขวัญ), Tim Burton(ผู้กำกับ “Batman”), Clive Barker, Laurie Anderson, Meredith Monk, John Cage(นักประพันธ์ดนตรี), Glenn Gould(นักเปียโน), Charles Ives(นักประพันธ์ดนตรี), Bobby Fischer(แชมป์หมากรุก), Vincent van Gogh(จิตตกร)

กับความคิด

ปัญหาของ “ไทป์ห้า” มาจากการให้ความสำคัญกับการคิดมากกว่าการทำ พวกเขาคิดตลอดเวลา โดยที่ไม่สนใจสิ่งรอบตัวเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาไม่ทำอะไรเลย เพียงแต่พวกเขาถนัดที่จะใช้ความคิดมากกว่า การลงมือปฏิบัติ ไทป์ในกลุ่มความคิด (“ไทป์ห้า”-“ไทป์หก”-“ไทป์เจ็ด”) ล้วนแล้วแต่สนใจโลกภายนอกตัวเอง ที่จริง “ไทป์ห้า” ก็ไม่ยกเว้น แม้ว่าพวกเขาจะหมกมุ่นอยู่กับการใช้ความคิด แต่สิ่งที่พวกเขากำลังคิดอยู่นั้น พวกเขารับมาจากการได้พบเจอสิ่งรอบตัว สิ่งซึ่งพวกเขาสงสัย และเก็บมาคิด ปัญหาของ “ไทป์ห้า” จึงอยู่ที่พวกเขามักต้องการที่จะ ทำให้สิ่งรอบตัวที่ตนสงสัยนั้นสอดคล้องกับ ความคิดของตนเสียก่อนที่จะเริ่มลงมือปฏิบัติ

ความไม่ปลอดภัย และความวิตกกังวล

กลุ่มความคิดมีปัญหากับ ความรู้สึกไม่ปลอดภัย “ไทป์ห้า” รู้สึกว่าโลกภายนอก เอาแน่เอานอนไม่ได้ จึงดูอันตราย พวกเขาคิดว่าตัวเองไม่เก่งในการต่อกรกับอันตรายรอบด้านอย่างคนอื่น ๆ พวกเขาจึงมุ่งที่จะ หาความรู้หรือทักษะต่าง ๆใส่ตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

ความกลัวพื้นฐานของ “ไทป์ห้า” คือ กลัวไร้สามารถ ช่วยอะไรไม่ได้ พวกเขาคิดว่าความสามารถของตนมีจำกัด จึงลดละความต้องการ และกิจกรรมทั้งหลายลงเมื่อใดก็ตามที่รู้สึกวิตกกังวล อาจถึงกับดำรงชีวิตแบบ คนป่าเลยก็ได้ เพื่อลดความรู้สึกขาดแคลน ผลที่ตามมาก็คือ พวกเขาจะหลีกหนีสภาวะที่คนรอบข้างคาดหวังจากเขา แต่เขาไม่สามารถพอที่จะทำให้ได้ เกิดพฤติกรรมหลีกหนีสังคม

ถ้า “ไทป์ห้า” อยู่ในระดับดี พวกเขาช่างสังเกต และเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆรอบตัวที่ซับซ้อนได้ดี อยู่ในโลกของความเป็นจริง ในระดับปานกลาง พวกเขาเริ่มคิดมากเนื่องจากความวิตกกังวล เริ่มเหม่อลอย ซึ่งยิ่งทำให้กังวล เพราะเป็นการตอกย้ำว่าตัวเองไม่สามารถรับมือกับความเป็นจริงได้ แม้แต่ปัจจัยสี่ธรรมดาก็ยังรู้สึกขาดแคลน เมื่อ “ไทป์ห้า” เข้าสู่ระดับเสื่อม พวกเขาจะหลบผู้คน และคิดอะไรแปลก ๆเกี่ยวกับตัวเองและโลกแห่งความเป็นจริง ติดอยู่ในแนวคิดที่ตนเองสร้างขึ้นมา

ความวิตกกังวลของ “ไทป์ห้า”

เกี่ยวข้องกับความไม่สามารถรับรู้โลกภายนอกอย่างเป็นกลางได้ พวกเขาหลีกเลี่ยงมิให้ความคิดของคนอื่นเข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดของตน ในขณะเดียวกัน ความคิดที่กลัวกว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้จะทำให้ “ไทป์ห้า” รู้สึกว่ากิจกรรมของคนอื่น จะเบียดบังเวลาของตนไปหมด และควบคุมตนไว้ พวกเขาไม่ยอมคิดอะไรตามคนอื่น เพราะมันเป็นการทำลายความมั่นใจในตัวเองสำหรับพวกเขา การคิดอะไรคนเดียวโดยไม่ตรวจสอบกับโลกภายนอกนี้เอง ทำให้ “ไทป์ห้า” ดูหลุดโลกมาก

บุคลิกของ “ไทป์ห้า” อาจดูเป็นคนหันเข้าหาตัวเอง แต่ที่จริงแล้วพวกเขาหันเข้าหาโลกภายนอกอยู่ไม่น้อย พวกเขาจดจ่ออยู่กับการพยายามที่จะเข้าใจโลก และใช้ความคิดในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเพื่อเผชิญหน้ากับมันหรือเพื่อหลีกหนีก็ตาม

“ไทป์ห้า” สนใจสิ่งรอบตัวเสมอ แม้สิ่งเล็กน้อยที่คนอื่นไม่เห็นว่าเป็นสาระ อุปนิสัยนี้อาจนำ “ไทป์ห้า” ไปสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ แต่หากเมื่อใดก็ตามที่ “ไทป์ห้า” หยุดสังเกตสิ่งรอบตัว และหันมาจดจ่ออยู่กับการตีความเพียงอย่างเดียว เมื่อนั้นพวกเขาจะเอาแต่คิด ไม่ทำอะไรให้เป็นรูปธรรม เป็นสาเหตุให้สูญเสีย ความมั่นใจในตัวเอง ไม่เผชิญหน้ากับความเป็นจริง และรู้สึกหวาดกลัวว่าตนเองจะตกเป็นเหยื่อของโลกที่โหดร้ายมากขึ้น

กับพ่อแม่

ในวัยแรกเกิด “ไทป์ห้า” Two และ Eigth มองหาสิ่งที่ตนทำได้คนเดียวในครอบครัว สิ่งซึ่งทำให้ตนมีสิทธิ์อยู่ในครอบครัว และได้รับการเลี้ยงดูและปกป้องจากพ่อแม่ แต่พวกเขาจะรู้สึกว่าไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่ “ไทป์ห้า” จะใจลอยเพื่อหลีกหนีการมีปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เพื่อตามหาสิ่งที่ทำให้ตนได้รู้สึกทัดเทียมกับคนอื่นในครอบครัว ความกลัวว่าตนเองจะเป็นคนไร้สามารถ ทำให้ “ไทป์ห้า” พุ่งประเด็นไปที่การสร้างความสามารถพิเศษให้กับตนในสิ่งที่ยังไม่มีใครในโลกทำได้มาก่อน เพื่อให้ตนเกิดความมั่นใจในตัวเองมากพอที่จะกลับเข้าสู่สังคมอีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน “ไทป์ห้า” ได้สร้างข้อแม้อันหนึ่งขึ้นกับพ่อแม่ ซึ่งมีผลต่อความสัมพันธ์กับพ่อแม่เมื่อโตขึ้น นั้นก็คือ “อย่างมายุ่งย่ามกับฉันมาก และฉันก็จะไม่ยุ่งย่ามกับเธอ” “ไทป์ห้า” มักรู้สึกรำคาญถ้าใครจะมาขโมยเวลาอันมีค่าในการหาความรู้สึก และฝึกฝนทักษะของตัวไป ความใกล้ชิดที่คนในไทป์อื่นอาจรู้สึกอบอุ่นอาจเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับ “ไทป์ห้า” อาจเป็นเพราะ “ไทป์ห้า” รู้สึกว่าไม่มีที่สำหรับตนในครอบครัว ซึ่งเป็นผลมาจากการเลี้ยงดูที่ผิดวิธี การถูกรบกวนทางอารมณ์ การติดเหล้า หรือการที่ครอบครัวที่ไม่ได้รักกัน ทำให้ครอบครัวเป็นที่พึ่งไม่ได้สำหรับเขา “ไทป์ห้า” จะหาทางออกด้วยการไม่ไว้ใจสิ่งใด ๆนอกจากการใช้ความคิดของตัวเอง พวกเขาจะมองว่าสิ่งที่อยู่ในความคิดเป็นสิ่งดี สิ่งภายนอกเป็นสิ่งเลว การอยู่ท่ามกลางฝูงคนทำให้พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัย และรู้สึกอยากหลีกหนี ใช้ความคิดตลอดเวลา รวมทั้งไม่ใส่ใจความสุขสบายทางกาย พวกเขายอมละทิ้งความสุขหรือความต้องการเพื่อแลกกับการไขว่คว้าหาสิ่งที่ตนเองสนใจ และสร้างความชำนาญขึ้น

การเก็บตัว และโรคกลัว

ในระดับดี “ไทป์ห้า” จะไม่หลีกหนีสังคม พวกเขารู้สึกปลอดภัยและมั่นใจพอที่จะอยู่ท่ามกลางคนอื่น การที่อยู่กับสิ่งรอบตัวนี่เอง ทำให้การสังเกตของพวกเขาแม่นตรง และมีสมดุลกับการใช้ความคิด แต่เมื่อ “ไทป์ห้า” ถอยลงสู่ระดับปานกลางถึงเสื่อม ความคิดของพวกเขาจะเริ่มจดจ่ออยู่กับเรื่องน่ากลัว อันตรายต่าง ๆ อย่างวิตกกังวล และยิ่งกลัวเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกอยากขุดคุ้ยสิ่งเหล่านั้นมากขึ้น และกลายเป็นโลกของความเป็นจริงสำหรับ “ไทป์ห้า” พวกเขาอาจมีอาการของโรคกลัว นาน ๆเข้าแทนที่จะแค่หลุดจากความเป็นจริง พวกเขาจะหลุดจากโลกของความคิดด้วย กลายเป็นคนวิกลจริตในที่สุด

ระดับจิตใจ

ระดับหนึ่ง “ผู้บุกเบิกแนวคิด”

“ไทป์ห้า” ในระดับนี้มองอะไรทั้งกว้างและลึกในเวลาเดียวกัน พวกเขามองเห็นภาพรวมของสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจ สร้างวิทยาการใหม่ขึ้นเพื่ออธิบายสิ่งต่าง ๆโดยใช้ความรู้ที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น มิติและเวลา โครงสร้างของดีเอ็นเอ ความสัมพันธ์ระหว่างสารเคมีในสมองกับพฤติกรรม ถ้าหากเขามีหัวศิลปะด้วย พวกเขาอาจบุกเบิกศิลปะแนวใหม่ ที่จะเป็นบรรทัดฐานให้คนอื่นสร้างสรรงานศิลป์ และเรียนรู้ได้

พวกเขาค้นพบสิ่งใหม่ได้เพราะไม่ยึดติดอยู่กับความคิดส่วนตัว แต่อาศัยการสังเกตความเป็นจริงอย่างเปิดใจกว้าง ไม่เร่งรัดที่จะพบคำตอบ พวกเขาเข้าใจสิ่งต่าง ๆอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงเป็นนักคาดการณ์อนาคตที่แม่นยำ พวกเขาไม่ได้คิดแบบหาเหตุผล แต่ใช้สิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า ปัญญา หรือเป็นการสงบใจให้สามารถสะท้อนสิ่งต่าง ๆออกมาได้ พวกเขาไม่ได้ใช้ใจเป็นกลไกในการป้องกันตัวจากความจริง แต่ยอมให้ความจริงนั่งอยู่ในใจ

“ไทป์ห้า” ในระดับนี้ที่มีพรสวรรค์จริง ๆจะค้นพบหลักการที่อธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้ อย่างที่ไม่เคยมีใครพบมาก่อน หรืออย่างน้อยก็จะได้พบกับความตื่นเต้นเมื่อได้เข้าใจสิ่งที่ยาก ๆอย่าง แคลคูลัส หรือการใช้คอมพิวเตอร์ “ไทป์ห้า” ในระดับนี้หลุดพ้นจากการหมกมุ่นกับตัวเอง พวกเขามีสติอยู่กับความรู้สึกเป็นสุขและสงบในโลกใบนี้ และเป็นอิสระจากความรู้สึกหวาดกลัวว่าตนจะไร้สามารถ ไม่ไคว่คว้าหาความรู้อย่างไม่คิดชีวิต หรือรู้สึกว่าสิ่งรอบตัวกำลังท้าทายตนอยู่

ระดับสอง “นักสังเกต”

“ไทป์ห้า” สนใจสิ่งรอบตัวมาก เป็นไทป์ที่สมองตื่นตัวมากที่สุด อยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา พวกเขาสนุกกับการใช้ความคิด การใช้ความรู้ประยุกต์ไปมาในหัวสมอง การได้รู้และเข้าใจเป็นความสุขสำหรับพวกเขา พวกเขารู้สึกหลงไหลใน ผู้คน ธรรมชาติ ชีวิต และจิตใจ

หากพวกเขามีระดับสติปัญญาสูง พวกเขาจะเปลี่ยนการรับรู้โลกอย่างผิวเผินไปเป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มองเห็นสิ่งที่ยังขาดไปในการอธิบายภาพรวม พวกเขาคิดว่าอะไรก็ตามที่ประสาทสัมผัสรับรู้ได้ สิ่งนั้นย่อมอธิบายได้ และย่อมเข้าใจได้ เมื่อเข้าใจแล้วก็ชำนาญได้ นำไปสู่การนำไปปฏิบัติอย่างมั่นใจในทึ่สุด

พวกเขาเป็นคนที่ช่างสังเกตอย่างมาก สนใจสิ่งรอบตัวตลอดเวลาและไม่มีวันเบื่อ อยากรู้และเข้าใจทุกสิ่งที่ได้ประสบ และต้องการที่จะรู้มากขึ้นเรื่อย เพราะโลกนี้มีสิ่งซับซ้อนซ่อนอยู่มากมายเป็นอนันต์ เรียนรู้ได้ไม่รู้จักจบสิ้น พวกเขามีความสามารถในการรับรู้ที่ดีกว่าคนอื่น เพราะมีสมาธิจดจ่อ พวกเขาจะตั้งใจกับสิ่งที่ต้องการเรียนรู้อย่างหนักจนกว่าจะเข้าใจ พวกเขาสนใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นปี ๆแม้ว่าจะไม่มีใครสนับสนุนหรือให้กำลังใจ เพราะสิ่งที่ดึงดูดพวกเขาคือเวลาที่ได้เรียนรู้ ได้ศึกษา มากกว่าความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น พวกเขาเป็นนักสร้างหลักการรวมที่ใช้อธิบายสิ่งต่าง ๆ สร้างสมมติฐาน แล้วสร้างกรอบในการสำรวจปัญหานั้น

ไม่ว่า “ไทป์ห้า” จะมีสติปัญญาหรือไม่ พวกเขาล้วนคิดว่าตนเป็นคนฉลาด และกลัวว่าคนจะมองว่าตนแปลก และพวกเขาก็มักแปลก เพราะใจของพวกเขามุ่งแต่สิ่งที่อยากรู้ จึงไม่สนใจสิ่งที่สังคมปฏิบัติกัน พวกเขามีแนวโน้มที่จะหลุดออกจากสิ่งรอบตัว กลายเป็นเพียงผู้สังเกต หรือคนนอกสำหรับสิ่งที่กำลังสนใจ ในระดับ Fiv e เริ่มมีความกังวลในสิ่งที่ตนยังไม่เข้าใจ และเมื่อเข้าไปใช้สมองกับสิ่งเหล่านั้น พวกเขาก็จะติดอยู่กับการหาคำตอบ ดังนั้น นิสัยช่างสังเกตของ “ไทป์ห้า” มิใช่แค่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็น แต่มีเรื่องของความวิตกกังวลด้วย

ระดับสาม “นวัตกร”

เมื่อ “ไทป์ห้า” คิดว่าตนฉลาดและช่างสังเกตกว่าใครแล้ว พวกเขาก็เริ่มกลัวว่าจะสูญเสียความสามารถนั้น หรือกลัวว่าสิ่งที่ตนรู้นั้นจะไม่จริง พวกเขาจะเริ่มทุ่มเทพลังงานทั้งหมดให้กับสิ่งที่ตนเองสนใจที่สุด ปรารถนาที่จะชำนาญในสิ่งนั้นอย่างที่สุด ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังอยากก้าวล้ำไปในระดับที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน เพื่อว่าจะได้สร้างจุดที่ไม่ใครทำได้ให้กับตัวเอง และไม่มีทางที่ใครจะตามทัน การค้นหาสิ่งเหล่านี้เป็นผลทำให้ “ไทป์ห้า” สร้างสิ่งใหม่ ๆให้กับโลก และสร้างนิสัยเปิดใจกว้างให้กับพวกเขาด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะพวกเขาสนใจเสมอที่จะมองสิ่ง ๆต่างในมุมที่คนอื่น ๆมองด้วย พวกเขาไม่ยึดติดกับความคิดใดความคิดหนึ่ง และมักมีความอดทนในการอธิบายความคิดของตนเองให้คนอื่นฟัง ไม่ว่าจะยากมาก หรือเพราะผู้ฟังไม่ฉลาดพอก็ตาม พวกเขาจะอธิบายอย่างใจเย็นและปรารถนาที่จะให้คนอื่นเข้าใจสิ่งที่ตนพูด

“ไทป์ห้า” ในระดับนี้ชอบสนทนาเกี่ยวกับปัญหาและทางแก้ไข เพราะการได้พบปะเสวนา อธิบายสิ่งที่ตนรู้ให้กับกับผู้รู้ในแขนงอื่น มักจะได้รับความรู้ใหม่ ๆเป็นผลพลอยได้มาด้วย พวกเขาจึงมักเป็นครู เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนที่ดี ทำให้คนรอบข้างที่สนใจสิ่งเดียวกันอยู่รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย แม้ว่าพวกเขาจะชอบอยู่ท่ามกลางคนที่มีความสนใจเหมือน ๆกัน แต่พวกเขาก็เป็นปัจเจกเอามาก ๆพวกเขามักใช้เวลาศึกษาหาความรู้โดยลำพัง ยอมสละสังคม หรือทำอะไรฝืนกระแสเพื่อให้ได้ใช้เวลาไปกับการศึกษาหาความรู้

บุคคลสำคัญของโลกที่เป็น “ไทป์ห้า” มักเป็นคนที่ปฏิวัติความคิดใหม่ ๆ มีผลงานที่ทำให้โลกตะลึงไม่ว่าจะเป็น ศิลปะหรือวิทยาศาสตร์ วิธีการของพวกเขาจะถูกประนามอย่างอื้อฉาว ก่อนที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรฐานใหม่ในการสร้างสรร

พวกเขามีอารมณ์ขัน เชิงประชดประชัดพฤติกรรมของคนอื่นที่ตนสังเกตพบ พกวเขาหลงใหลความแปลกประหลาด ติดใจอยู่กับคำพูด ภาพ หรือวัตถุ อาจพูดตลกในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูด เพราะต้องห้าม พวกเขาเก่งในการใช้จินตนาการในการสร้างทางออกใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา ทำให้หลายคนเป็น นักสร้างภาพยนตร์ คนเขียนการ์ตูน หรือนักเขียนแนวสยองขวัญ ไซไฟ และตลกร้าย ที่มีชื่อเสียง อารมณ์ศิลป์ของพวกเขามักสุดขั้วในสองทาง คือความเล็กจิ๋ว และความเหนือจริง ถ้าเป็นศิลปิน พวกเขาจะไม่สนใจสร้างสรรค์สิ่งที่อยู่ในความสนใจของมนุษย์โดยปกติอยู่แล้ว แต่จะมองหาสิ่งแปลกประหลาด

ในระดับนี้ “ไทป์ห้า” มีความมั่นใจตัวเอง มักสนใจหลายอย่างและเก่งทุกอย่างที่สนใจ พวกเขามีความสุขเพราะสิ่งที่ตนสนใจเป็นสิ่งที่สำคัญต่อมนุษยชาติ ในยุคนั้น ทำให้ตนรู้สึกว่ามีค่า

ระดับสี่ “ช่างจอมขยัน”

“ไทป์ห้า”ในระดับนี้เรามีความกลัว พวกเขากลัวว่าตนเองจะมีความรู้ความสามารถไม่มากพอที่จะทำอะไรต่ออะไร พวกเขาจะรู้สึกต้องการที่จะเรียนมากขึ้น ค้นคว้ามากขึ้น หาเทคนิคต่าง ๆมากขึ้น รู้สึกเหมือนยิ่งรู้มากเท่าไร ก็ยิ่งพบว่าตนเองไม่รู้มากขึ้นเท่านั้น พวกเขาเริ่มเอาตัวเขาไปอยู่ในสภาวะที่ตนเองรู้สึกมั่นใจมากกว่ามากขึ้น นั้นก็คือ การใช้ความคิด ไทป์ทุกไทป์ล้วนแล้วแต่มีพรสวรรค์ติดตัวมาคนละอย่าง สติปัญญาคือพรสวรรค์สำหรับ “ไทป์ห้า” แต่แทนที่ “ไทป์ห้า” ในระดับนี้จะเอาสติปัญญามาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต อย่างระดับต้น ๆ พวกเขาเริ่มใช้เวลาไปกับการไล่ล่าหามันแทน พวกเขาเริ่มเก่งในการสร้างแนวคิดรวบยอด และใช้เวลาไปกับการคิดหลักการที่ใช้อธิบายสิ่งต่าง ๆหรือแนวคิดรวบยอดต่าง ๆเป็นเวลานาน ๆแต่ไม่นำมาใช้ประโยชน์ พวกเขาติดอยู่กับการเตรียมตัว พวกเขาค้นคว้า ฝึกฝน หาความรู้ที่จำเป็นเกี่ยวกับการสร้างสิ่งประดิษฐ์ การแต่งเพลง หรือการเขียนหนังสือ แต่ไม่ยอมลงมือ พวกเขาให้เหตุผลกับตัวเองว่า ยังไม่พร้อม หรือยังรู้ไม่มากพอเพราะแท้จริงแล้ว “ไทป์ห้า” รู้สึกไม่มั่นใจเมื่อตนเองต้องใช้ความสามารถส่วนตัวในการจัดการกับโลกภายนอก

ความรู้สึกที่ว่าตนเองยังเก่งไม่เท่าคนอื่น ทำให้ “ไทป์ห้า” ตัดขาดจากสังคม และใช้เวลาไปกับการฝึกฝนทักษะต่าง ๆ เริ่มเป็นคนจมอยู่กับความคิด อยู่กับสิ่งสะสมที่เกี่ยวกับการศึกษาต่าง ๆเช่น หนังสือ เทป วิดิทัศน์ ซีดี ฯลฯ โดยมาก “ไทป์ห้า” มักเป็นหนอนหนังสือ พวกเขาชอบเข้าร้านหนังสือ ห้องสมุด หรือร้านกาแฟที่ดึงดูดเหล่านักวิชาการที่ชอบสนทนาการเมือง ภาพยนตร์ หรือวรรณกรรม พวกเขาหมดเงินไปกับเครื่องมือแสวงหาความรู้แบบต่าง ๆไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ หรือหนังสือเก่า ๆ และเกลียดการใช้เงินเพื่อซื้อหาความสะดวกสบายทางกาย เพราะสิ่งที่มีความหมายต่อตัวตนของพวกเขาคือ สมองหรือจินตนาการ ไม่ใช่เรือนร่าง

ไม่ช้าไม่นาน “ไทป์ห้า” จะกลายเป็นผู้ชำนาญเฉพาะทาง ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง ความภูมิใจของพวกเขาก็คือ การได้รู้อะไรสักอย่างที่คนรอบข้างไม่รู้ พวกเขาอาจเป็นนักวิชาการสาขาต่าง ๆเช่น นักวิเคราะห์ยีน นักคณิตศาสตร์ที่ศึกษาการก่อตัวของหิมะ นักศึกษาการอพยบของนก หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ไม่วิชาการมากก็ได้ อย่างการได้เป็นนักสะสม ของเก่า แสตมป์ การ์ตูน หรือเพลงแต๊ส การสะสมสิ่งของแสดงออกถึงความต้องการที่จะรวบรวมสิ่งต่าง ๆที่ตนรู้และถนัดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

อุปนิสัยเป็นนักสะสมอาจสร้างสิ่งที่น่าทึ่งให้กับ “ไทป์ห้า” พวกเขาอาจสะสมแผ่นเสียงของ The Beatles ทุกชุดและเรียงมันไว้ตาม พ.ศ. พวกเขามีความรู้สึกว่าจะรู้อะไรต้องรู้ให้ละเอียด และสมบูรณ์ การเปรียบเทียบความแตกต่างของพัฒนาการทางดนตรีของ Beethoven ในวัยต่าง ๆ หรือเทียบการเล่น Symphony No.3 ที่แตกต่างกันของแต่ละวง เป็นความสุขอย่างหนึ่งของพวกเขา และรู้สึกว่าได้ใช้เวลาไปอย่างมีค่า พวกเขาเริ่มใส่ใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เฉพาะทางมาก ๆ และเริ่มหลีกเลี่ยงกิจกรรมซึ่งที่จริงแล้วสร้างความมั่นใจในตัวเองให้กับพวกเขาได้จริง ๆไป

“ไทป์ห้า” เริ่มใช้ความคิดตลอดเวลา ซึ่งไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ไร้ประโยชน์ เพราะจากที่เคยเป็นคนช่างสังเกตสิ่งรอบตัว พวกเขาเริ่มสนใจรายละเอียดเล็กน้อยอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป และมองข้ามสิ่งอื่น พวกเขาใช้วิทยาศาสตร์กับทุกสิ่งที่ได้พบเจอ เริ่มออกห่างจากความเป็นจริง และใส่ใจแต่สิ่งที่สนใจเท่านั้น หรือก็คือ พวกเขามองอะไรลึกขึ้นแต่แคบลง

พวกเขาเป็นบุคคลประเภทที่อยากเต้นรำ แต่ขี้อายเกินไป พวกเขาจึงเอาแต่นั่งดูคนอื่นเต้น จดจำท่าทางการเต้นทุกอย่างก้าวอย่างเป็นระบบในหัวสมอง การเต้นรำสำหรับพวกเขาก็คือการคิดถึงท่าเต้นทุกรายละเอียด อย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ “ไทป์ห้า” ระดับนี้ชอบพูดคุยแสดงความคิดที่ตนเองมีอยู่ให้กับคนอื่น พวกเขากระตือรืนร้นที่จะได้พูดคุยกับผู้รู้ในเรื่องที่เขาสนใจ และหลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องส่วนตัว ความมุ่งหวัง ความต้องการ หรือความไม่สมหวังของตัวเอง

ระดับห้า “นักคิด”

ในระดับนี้ “ไทป์ห้า” ยิ่งจำกัดขอบเขตของความสนใจมากขึ้นอีก พวกเขาให้เวลากับสิ่งที่ไม่ได้สนใจน้อยลง ๆ และไม่ค่อยยอมทำอะไรใหม่ ๆ พวกเขาทุ่มเทชีวิตและเงินทองให้กับสิ่งที่ตนสนใจ เพื่อหวังว่าจะทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ผลของการใช้พลังงานไปกับสิ่งเหล่านั้นก็คือ การไม่ได้สัมผัสกับสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเขาจริง ๆ พวกเขาให้เวลากับโครงการของตัวอย่างมากแต่ไม่เคยสำเร็จ เพราะ “ไทป์ห้า” ขาดความมั่นใจ ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร และกลัวที่จะต้องอยู่ภายนอกโลกแห่งการใช้ความคิด

พวกเขาอาจจะอยากรู้จักและใกล้ชิดกับคนอย่างมาก แต่คิดว่ายังไม่พร้อมเพราะขาดทักษะที่พอเพียง และยังมองว่าการเข้าสังคมเป็นเรื่องที่เบียดบังเวลาของเขาในการสร้างทักษะ และความรู้ที่จำเป็น พวกเขาเริ่มจดจ่อกับการใช้ความคิดมากขึ้น สิ่งที่เคยสร้างขึ้นเป็นเสมือนทางเลือกสำหรับความเป็นจริงในระดับบน ๆเริ่มถูกใช้เป็นทางออกของ “ไทป์ห้า” ในระดับนี้

ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ “ไทป์ห้า” ในระดับนี้เริ่มลดความสนใจตัวเองด้วย ความรู้สึกไม่ปลอดภัยทำให้พวกเขาใช้เวลาไปกับการกระทำที่สร้างความมั่นใจ และทักษะให้กับตัวเองแบบชั่วครั้งชั่วคราวได้ ในใจของพวกเขานั้นจะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เป็นการชดเชยความกลัวที่มีต่อโลกภายนอก ความคิดเริ่มซับซ้อนมากขึ้น และทำให้พวกเขาต้องให้เวลากับมันมากขึ้น พวกเขามักง่วนอยู่กับทฤษฎีที่ซับซ้อน อย่างดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ ปรัชญา หรือเรื่องที่คนทั่วไปไม่รู้อย่าง โหราศาสตร์ เรื่องลี้ลับ ติดเกมส์ที่ใช้สมองอย่าง หมากรุก เกมส์คอมพิวเตอร์ เริ่มศึกษาการเล่นเกมส์ การสร้างเกมส์ มีแนวโน้มที่จะสนใจนิยายแนววิทยาศาสตร์ เรื่องสยองขวัญ การอยู่กับโลกแฟนตาซีทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนมีทักษะมากขึ้น แม้จะเป็นแค่ในความคิด การสนใจเรื่องแปลก ๆทำให้ได้พบสิ่งที่คนอื่นยังไม่พบ และเป็นกลไกการต่อต้านความกลัวว่าตนเองจะเป็นผู้ไร้สามารถ

การใช้ความคิดของ “ไทป์ห้า” เริ่มไร้ขอบเขต พวกเขาเริ่มคิดอะไรน่ากลัว ต้องห้าม หรือสังคมรับไม่ได้มากขึ้น “ไทป์ห้า” แสวงหาความจริง ไม่ว่ามันจะน่ากลัว หรือไม่น่าพิศมัยเท่าไรก็ตาม ในระดับดี ๆสิ่งนี้ทำให้ “ไทป์ห้า” ค้นพบอะไรใหม่ ๆ แต่ในระดับที่เสื่อมลง สิ่งนี้เป็นปัญหา เพราะความที่ “ไทป์ห้า” ขาดความสามารถในการสัมผัสกับโลกของความเป็นจริงได้อย่างแท้จริง การค้นหาความจริงในสิ่งที่ยังเป็นอจินไตยอยู่ ยิ่งทำให้ “ไทป์ห้า” มีความกลัวและวิตกกังวลต่อโลกและตัวเองมากขึ้น

ความกลัวและการใช้จินตนาการทำให้ “ไทป์ห้า” เริ่มมองทุกสิ่งในแง่ลบ พวกเขามีแนวโน้มที่จะสนใจ “พลังอำนาจ” อาจศึกษาเรื่องที่มี่ส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจ อย่างการเมือง ธรรมชาติ พฤติกรรมมนุษย์ และมักระแวงใครก็ตามที่อยู่ในสถานะที่ใช้อำนาจบังคับตนได้ มองว่าพวกเขาจะใช้มันบังคับตนอย่างไม่มีทางสู้ อันเป็นหนึ่งในสิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุด

วิธีหนึ่งที่ “ไทป์ห้า” ใช้ในการป้องกันภัยคุกคามจากคนอื่น ก็คือการทำตัวเป็นความลับ พวกเขาไม่เต็มใจที่จะพูดเรื่องส่วนตัว อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว ด้วยเกรงว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นใช้อำนาจคุกคามตนเองได้ พวกเขาแม้ไม่ได้ปกป้องความเป็นส่วนตัวอย่างเปิดเผย แต่ก็จะพยายามพูดถึงอย่างสั่น เป็นความหมายแฝง หรือฟังดูไม่ได้ใจความมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นอกจากนี้พวกเขาจะระวังไม่ให้มีคนรู้ข้อมูลด้านหนึ่ง ๆเกี่ยวกับตัวเขามากกว่าหนึ่งคน เช่น เพื่อนคนหนึ่งอาจรู้ว่าเขาเป็นคนชอบกลับบ้านดึก แต่เพื่อนคนอื่นไม่รู้ ในขณะที่อีก คนรู้ว่าเขาหลงใหลเรื่องราวเกี่ยวกับแมลง ไม่รู้ว่าเขาชอบกลับบ้านดึก “ไทป์ห้า” จะคอยระวังไม่ให้ทั้งสองคนนี้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ ไม่มีใครได้ภาพรวมทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเขาไป อย่างไรก็ดีมันเป็นสิ่งยากที่จะระวังเมื่อเพื่อนมีจำนวนมากขึ้น ทำให้ “ไทป์ห้า” ในระดับนี้ต้องทำชีวิตให้ง่าย ไม่ซับซ้อนเกินไป ความจำเป็นนี้ขยายผลออกไปสู่เรื่องอื่น ๆของชีวิตด้วย กล่าวคือ “ไทป์ห้า” ในระดับนี้มีอาการ ละความต้องการพื้นฐานทั้งปวง พวกเขาเริ่มไม่ใส่ใจกิจวัตรประจำวัน มองหางานที่ใช้ความสามารถน้อยกว่าที่ตนมีอยู่ เพื่อจะได้ไม่ต้องเอาตัวเขาไปรับผิดชอบมาก เอาเวลาไปเตรียมการวางแผนชีวิตมากกว่าที่จะเอาไปใช้ชีวิตจริง ๆ พวกเขาอยู่กับชัยชนะเล็ก ๆน้อยที่เกิดขึ้นจากการใช้สมองของพวกเขามากกว่า

การที่เริ่มสนใจสิ่งที่อยู่ในสมอง และการใช้จินตนาการมากกว่า การสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างละเอียดกลายเป็นสาเหตุของปัญหาสำหรับ “ไทป์ห้า” พวกเขาเริ่มใจลอย และเลิกเป็นคนช่างสังเกต พวกเขาให้ความสำคัญกับกระบวนการคิดมากกว่าการรับข้อมูล แต่ยิ่งทุ่มเทเวลาไปกับการใช้ความคิดขนาดไหน พวกเขายิ่งรู้สึกว่าสรุปอะไรไม่ได้เลยมากเท่านั้น ยิ่งช่างบันทึก ยิ่งใช้ภาษาซับซ้อนเข้าใจยากขึ้นทุกที พวกเขาไม่สามารถบันทึกความคิดออกมาได้ เพราะยิ่งคิดยิ่งไม่มีข้อสรุป

พวกเขาเปิดใจให้กับความน่าจะเป็นทุกทีกรณี และให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริงน้อยลงทุกที พวกเขาเลิกที่จะมาหาความสัมพันธ์ระหว่างความคิดกับความจริง หันมาสนใจความคิดอย่างเดียว ทำให้หลุดออกจากโลกของความเป็นจริง การคิดอะไรที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆทำให้พวกเขาเริ่มมีปัญหาในการแสดงความคิดเห็น มีความคิดร้อยแปดพันเก้าพวยพุ่งออกมาจากสมองของพวกเขาตลอด โดยที่แต่ละเรื่องก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย การใช้สมองจัดการกับสิ่งเหล่านี้ทำให้สมองของเขาทำงานหนัก และล้ามาก นอกจากนี้ “ไทป์ห้า” ยังมักสำคัญผิดว่า ความคิดต่าง ๆที่ตนกำลังสนใจ คนรอบข้างก็สนใจไม่แพ้ตัวเขาอยู่เหมือนกัน

“ไทป์ห้า” เริ่มกลายเป็นวิญญาณอย่างเดียวมากกว่า วิญญาณในร่างกาย เพราะใช้ความคิดตลอดเวลา ลืมกิน ลืมนอน ลืมอาบน้ำ มักดูเป็นศาสตราจารย์สติเฟื้อง ที่ลืมติดกระดุมทุกเม็ด สมองของพวกเขาถูกสร้างมาเพื่อการใช้งานหนักกว่าไทป์อื่น ๆ (Nine ก็ชอบใช้ความคิดแต่ผลที่ได้ต่างกับ “ไทป์ห้า” กล่าวคือการใช้ความคิดทำให้ Nine กลายเป็นคนที่ดูสงบ แต่ “ไทป์ห้า” ดูตื่นเต้นและเข้มข้น) พวกเขาไม่อาจหยุดแรงขับดันใน id ที่พวยพุ่งออกมาจากจิตใต้สำนึกของพวกเขาได้ สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อทุกด้านของชีวิตของเขา ทำให้เป็นคนทำอะไรดูจริงจังไปหมด

พวกเขาสนใจในตัวคนอื่นอย่างมาก แต่ก็รู้สึกเคลือบแคลงคนรอบข้างด้วย พวกเขาพยายามหาว่าสิ่งใดบ้างที่กระตุ้นความสนใจคนรอบข้างเหล่านั้นบ้าง แต่ก็พยายามหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเกินไป เพื่อไม่ให้ต้องถูกเบียดเบียน หรือคาดหวังในสิ่งที่ตนทำไม่ได้ เรื่องอารมณ์ความรู้สึกเป็นเรื่องที่กระตุ้นจิตใจของ “ไทป์ห้า” ได้ง่ายมาก และ “ไทป์ห้า” ส่วนใหญ่แล้วมักมีแรงขับทางเพศสูง ทำให้พวกเขาหลงใหลผู้คน และความสัมพันธ์ แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ประมาทกับสิ่งเหล่านี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้ “ไทป์ห้า” ในระดับนี้โดยทั่วไปจะครองโสด หรือไม่ก็ต้องมีความสัมพันธ์แบบลุ่ม ๆดอน ๆ ความผูกผันใกล้ชิดเร้าอารมณ์พวกเขาอย่างมาก และทำให้พวกเขาตัดขาดจากคนอื่นมากขึ้น และยิ่งทำให้รู้สึกช่วยอะไรตัวเองไม่ได้ มองโลกด้วยความเคลือบแคลง มองโลกแง่ร้าย และคิดว่าธรรมชาติมีเจตนาร้ายต่อมนุษย์มากกว่าที่จะดี

ระดับหก “คนขวางโลก”

ความซับซ้อนในจิตใจของ “ไทป์ห้า” สร้างความสับสน และวิตกกังวลให้กับพวกเขา ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเลยที่ชัดเจนและแน่นอน พวกเขาสิ้นหวังกับการใช้ความคิดทั้งหลายของตน และกลัวว่าสักวันคนอื่นต้องคาดคั้นให้ตนเลิกเอาแต่คิด ในขณะที่ตนยังไม่พร้อมจะเลิก ความกลัวนี้จะทำให้พวกเขาป้องกันตัวอย่างก้าวร้าว ต่อสิ่งที่ตนคิดว่าคุกคามการสร้างความสามารถพิเศษของตน คำพูดจา การแต่งกาย และสิ่งที่พวกเขาให้ความสนใจ ล้วนแสดงออกราวกับจะพูดว่า “อย่ามายุ่งกับฉัน” ใครที่ไม่รู้ตาม้าตาเรือ อาจถูก “ไทป์ห้า” ในระดับนี้ไล่ตะเพิดไปได้ง่าย ๆ

ดูผิวเผินแล้ว “ไทป์ห้า” ในระดับนี้ดูเป็นคนทนงตนว่ามีปัญญา แท้จริงแล้วกลับไม่มั่นใจในความคิดของตนเอง บางทีโครงการต่าง ๆที่พวกเขาคิดจะทำดูเป็นสิ่งที่ไร้ค่าในสายตาของเขาเอง พวกเขาจะปกป้องความเห็นของตนเองอย่างรุนแรงสลับกับ การเกิดความรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งไร้ค่า พวกเขาเริ่มมองอะไรสุดโต่ง และแปลกมากขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับความคิดเหล่านั้นขึ้นมาใหม่

ทั้งที่ไม่มั่นใจในจุดยืนของตัว พวกเขาพยายามแสดงออกว่ามั่นใจ และพยายามนำมันมาใช้ แต่ความกลัวและความรู้สึกไร้สามารถในจิตไร้สำนึก จะทำให้พวกเขายังรู้สึกไม่มั่นใจอยู่ พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าทุกสิ่งในโลกนี้ช่างยากเย็น และโกรธที่คนอื่นกลับมองสิ่งเดียวกันว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ พวกเขาเริ่มพูดทำลายความมั่นใจคนอื่น ด้วยการแสดงความเห็นในแง่ร้ายของตน เช่น “นายคิดจะไปเที่ยวชายหาดเหรอ ฉันเพื่ออ่านผลงานวิจัยล่าสุดเมื่อเช้านี้เอง เขาบอกว่าโอกาสที่จะไปเที่ยวทะเลแล้วเป็นมะเร็งมีสูงถึงเกือบร้อยเปอร์เซนต์แล้ว” สิ่งที่ “ไทป์ห้า” อาจบอกอาจเป็นข้อเท็จจริง แต่จุดมุ่งหมายของพวกเขาไม่ใช่การเสนอข้อเท็จจริง มันเป็นการทำลายความมั่นใจของคนอื่นมากกว่า นิสัยที่ชอบแสวงหาความรู้ทำให้ “ไทป์ห้า” มีข้อมูลมากมายเป็นเครื่องมือ

“ไทป์ห้า” ทำตัวหัวรุนแรง ต่อต้านแบบแผนประเพณีที่คนทั่วไปยอมรับ พวกเขาชอบอะไรใหม่ ๆเพื่อที่จะได้ใช้ความคิดอย่างไร้ขอบเขต ความคิดที่ขวางโลกของ “ไทป์ห้า” ทำให้คนอื่นทนไม่ได้ที่จะต้องโต้เถียง หรือแม้แต่กลายเป็นศัตรูกัน พวกเขาเป็นศัตรูกับกฏเกณฑ์ ความคาดหวังต่าง ๆของสังคม พวกเขาจะใช้ชีวิตแบบแปลกเพื่อแสดงออกถึงจุดยืนเหล่านี้ และหลีกเลี่ยงชีวิตจำเจแบบคนส่วนใหญ่ อย่างการทำงานประจำ หรือการมีครอบครัว อาจแต่งตัวแปลกเพื่อยั่วยุสังคม หรือแสดงการไว้ทุกข์ การประท้วงในบางกรณีเป็นสิ่งที่สร้างสรร แต่การประท้วงของ “ไทป์ห้า” ในระดับนี้เป็นเพียงเพื่อจะบอกว่า ชีวิตเป็นเรื่องไร้สาระ ผู้คนช่างโง่เขลา ชีวิตฉันไร้ค่า แนวคิดแบบนี้เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวัฒนธรรม ” Alternatives ” ขึ้นในปลายศตวรรษนี้ อย่าง แนวดนตรี Grunge, Cyberpunk, Heavy metal ฯลฯ

ในระดับนี้ แม้ว่าจะเป็นคนชอบใข้ความคิด มองหาแต่ความเป็นไปได้ แต่พวกเขาก็มักชอบมองความเป็นจริงด้วย เพียงแต่มองมันอย่างเป็นจริงมากเกินพอดี พวกเขาอาจมองภาพวาดว่าเป็นแค่สี มองมนุษย์ว่าเป็นแค่เครื่องจักรทางชีวภาพ มองดอกไม้สวย ๆที่กำลังบานว่าเป็นแค่กระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง พวกเขาใช้ความคิดอันลึกซึ้งและมีหลักมีเกณฑ์ของตนผสมผสานกับ การแปลความอย่างสุดโต่งโดยไม่รู้ตัว

ความคิดแปลกประหลาดเหล่านี้ ทำให้ “ไทป์ห้า” ในระดับนี้ดูเหมือนคนเสียสติ แม้ว่าจะยังไม่ใช่ คนเราอาจมีความคิดที่แปลกได้ แต่คนไทป์อื่นจะไม่ใช้เวลากับมันมาก เพื่อพยายามพิสูจน์มันอย่าง “ไทป์ห้า” ในระดับนี้ ความคิดสุดโต่งเป็นสิ่งที่พวกเขาใช้เป็นสัญลักษณ์ในการสร้างตัวตน ดังนั้นพวกเขาจะปกป้องมันอย่างดีที่สุด และขู่ที่จะฟ้องร้องใครที่คิดจะขโมยความคิดของพวกเขาไป

พวกเขาฉลาดเกินไปที่จะพูดอะไรออกมาได้ เพราะปัญหาของเขาคือการไม่รู้ว่าความคิดไหนดีกว่าความคิดไหน ทุกความคิดดูไร้สาระเท่า ๆกันหมด จนไม่มีประเด็นใดน่าสนใจ พวกเขาอาจชอบการโต้เถียง เพื่อตอกย้ำว่าตัวฉลาด แต่ในเวลาเดียวกัน มันเป็นเสมอการตอกย้ำว่าสิ่งที่ตนกำลังคิดนั้นไร้สาระ ไร้ประโยชน์

พวกเขาอาจดูเป็นคนทุ่มเท แต่ถ้าดูดี ๆ แล้วสิ่งที่เขาทำจริง ๆไม่ค่อยได้ประโยชน์ พวกเขาอาจใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือเกี่ยวกับมด การทำฐานข้อมูลที่ละเอียดยิบในคอมพิวเตอร์ อ่านเทคนิคการเล่นหมากรุก สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้ “ไทป์ห้า” ก้าวไปสู่จุดที่ดีขึ้น แต่กลับเบียดบังเวลาต้องใช้ไปกับการทำสิ่งที่จำเป็นกว่าในชีวิต พวกเขาอาจครอบครองโลก มีพลังเหนือธรรมชาติ หรือรอดชีวิตจากสงครามนิวเคลียร์ได้ในจินตนาการ แต่เรื่องอย่างการไปสัมภาษณ์งาน หรือการหัดขับรถกลับทำไม่ได้

ปัญหาสำหรับ “ไทป์ห้า” ในระดับนี้คือ ความรู้สึกไร้สามารถที่หลอกหลอนตนเองอยู่ ทำให้การอยู่ท่ามกลางสังคมเป็นเรื่องยาก หากพวกเขาไม่เข้าใจจุดนี้ ความวิตกกังวลและความกลัวจะยิ่งดันเขาออกจากสังคมมากขึ้นทุกที และจะยิ่งยากที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ พวกเขาจะโดดเดี่ยวและจมลงสู่ความมืดที่น่าสะพรึงกลัวมากกว่าเดิม

ระดับเจ็ด “

ความต้องการที่จะเป็นเอกเทศ เพื่อจะได้สร้างเสริมทักษะให้กับตัวเองทำให้ “ไทป์ห้า” เริ่มเป็นศัตรูกับใครก็ตามที่มายุ่งย่ามกับชีวิต ซ้ำร้ายเมื่อ “ไทป์ห้า” เข้าสู่ระดับเสื่อม พวกเขาจะมองว่าทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นตัวยุ่ง และเห็นว่าทางเดียวที่จะทำให้ตนรู้สึกปลอดภัยก็คือ การเลิกติดต่อกับคนอื่น พวกเขาปรับตัวได้ยาก และมองโลกด้วยความน่ารังเกียจ

พวกเขารู้สึกว่า ยังไงเสียก็ไม่มีที่ไหนในสังคมที่เหมาะกับตน จึงแยกตัว และกลายเป็นเหยื่อของความรู้สึกสิ้นหวัง และเบี่ยงเบน พวกเขาจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เมื่อความคิดของพวกเขาได้รับการดูหมิ่น เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาฝาก ความนับถือตัวเอง ที่เหลือน้อยเต็มที่ของพวกเขาไว้ พวกเขาจะประนามคนเหล่านั้นกลับ และทำให้คนเหล่านั้นปฏิเสธพวกเขา ซึ่งยิ่งทำให้ “ไทป์ห้า” ไม่มีสังคม หมดทางที่จะมีความสัมพันธ์กับใครได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเหมือนอยากที่จะคัดค้านสิ่งที่คนอื่นศรัทธา และมีความสุขเมื่อได้วิจารณ์สิ่งที่ดี ๆในโลกนี้ พวกเขาพยายามบอกว่า ความสัมพันธ์ของคนสองคนที่บริสุทธิ์นั้นไม่มี และชอบเปิดโปงความเน่าเหม็นของสันดานมนุษย์ พวกเขาดูถูกวิธีการที่คนบางคนใช้ในการสร้างความสุขให้กับชีวิตแบบภาพลวงตา และบอกว่าตนโชคดีที่ไม่ตกเป็นเหยื่อ เพราะเป็นผู้มีปัญญา

สิ่งที่พวกเขาบอกอย่างจะจริง บางคนสร้างความสุขแบบจอมปลอมให้กับตัวเอง แต่บางคนก็ไม่ การมองโลกในแง่ลบอย่างเดียวไม่ใช่สิ่งที่ดี “ไทป์ห้า” ไม่เชื่อใน ความหวัง ศรัทธา ความรัก ความเมตตา หรือมิตรภาพ เพราะเขากลัวการมีความสัมพันธ์กับคน นั้นเป็นเหตุให้ “ไทป์ห้า” ในระดับนี้แยกตัว และต่อต้านความสัมพันธ์ หรือนามธรรมทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างคน ความรู้สึกเหล่านี้รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ อาจทำให้ “ไทป์ห้า” เลิกทำงานหาเงิน ละทิ้งโภคภัณฑ์ทั้งหลายยกเว้นสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพึ่งพาใครในโลกนี้ อันจะนำมาสู่การยุ่มย่ามชีวิตพวกเขาของคนรอบข้าง เลิกใช้รถยนต์ เลิกอยู่ตึก ไม่ใส่ใจในสารรูปตัวเอง กินถูก ๆ ไม่อาบน้ำ ติดเหล้า เริ่มคิดว่าไม่ผิดอะไรที่จะใช้ยาเสพติด ชอบลองยาใหม่ ๆ ยาแรง ๆ (นิสัยชอบทดลองมีอยู่ในตัวอย่างเต็มที่อยู่แล้ว) เจตนาใช้ยาที่แรงถึงตายอย่างเฮโรอีน ยาเสพติดทำให้ชีวิตของพวกเขายิ่งต้องโดดเดี่ยวมากขึ้นไปอีกระดับ และเร่งให้ทำร้ายตัวเองมากขึ้นไปอีก

พวกเขาสร้างเส้นเขตแดนส่วนตัว ด้วยการทำหน้าตาหยามเหยียดพฤติกรรมคนอื่น เขียนด่าพฤติกรรมคนอื่น นิ่งเฉยแบบเกลียดชัง ทั้งหมดนี้ได้ผล เพราะคนอื่นจะผละจากชีวิตของเขาโดยง่าย ซึ่งพวกเขาก็ต้องการ ถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาจะไม่ตรวจสอบความคิดของตนจากคนอื่นอีกต่อไป ทำให้ความคิดเริ่มบิดเบือนมากขึ้น

สำหรับไทป์อื่นในระดับเสื่อมอย่างนี้ พวกเขาปิกปิดอาการได้ดี แต่สำหรับ “ไทป์ห้า” กลับตรงกันข้าม ทุกคนจะสังเวช และสยดสยองกับพฤติกรรมที่พวกเขาแสดงออกมา แต่การยื่นมือเข้าช่วยเหลือนั้นเป็นไปได้ยาก ความจริงที่ว่า พวกเขา ต้องการการบำบัด นั้นทิ่มแทงใจพวกเขาอย่างมาก พวกเขาจะหาเหตุผลให้กับความคิดผิด ๆของตนเองได้ดีเสมอ ๆ และไม่มีทางคิดจะกลับไปอยู่อย่างคนทั่วไป

ในระดับ พวกเขามีแต่ความขัดแย้งภายในใจ พวกเขาอาจจะยังเก่ง มีพรสวรรค์อยู่ แต่กลัวที่จะทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา จึงไม่ได้ใช้สิ่งทีมีอยู่เลย พวกเขามีความก้าวร้าวต่อสังคมสูง แต่ไม่กล้าแสดงออกมา เพราะกลัวการที่จะต้องมีปากเสียงกับคนอื่น

ระดับแปด “ตัวประหลาด”

การแยกตัวทำให้ “ไทป์ห้า” สูญเสียความมั่นใจในการอยู่ท่ามกลางสังคม กลายเป็นคนที่กลัวสังคมอย่างไม่มีเหตุผล พวกเขาละกิจกรรมต่าง ๆลงเสียจนไม่เหลืออะไรให้ละอีกแล้วในระดับนี้ อาจถึงขั้นอยู่แต่ในห้องคนเดียว ซ่อนตัวอยู่ชั้นใต้ดินบ้านเพื่อน การมองโลกของพวกเขาผิดไปจากความเป็นจริง พวกเขาคิดว่าโลกนี้มีแต่สิ่งน่าสะพรึงกลัว เพราะความกลัวในจิตใจที่คอยบิดเบือนความคิด ทุกสิ่งทุกอย่างดูยากไปหมด จนไม่ทำอะไรเลย คิดว่าเพดานอาจหล่นลงมาใส่ ทีวีอาจทำให้เกิดมะเร็ง เก้าอี้อาจกลืนพวกเขาเข้าไป มีอาการจิตหลอน ได้ยินเสียงหรือเห็นภาพประหลาด มองเห็นร่างกายของตัวเองว่าประหลาด ไม่ใช่ตัวเอง นอนไม่หลับ ตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา หยุดคิดไม่ได้ ตลอดจนเหนื่อยโดยไม่รู้สาเหตุ

“ไทป์ห้า” ทั่วไปอาจนอนไม่ค่อยหลับ แต่ในระดับนี้ พวกเขาไม่นอนเลย พวกเขากลัวว่าจะมีใครมาทำอันตรายขณะหลับ และยังกลัวฝันร้ายอีก ทำให้มีแนวโน้มที่จะพึ่งยาเสพติด เพื่อกดประสาท การนอนไม่หลับทำให้สมองใช้ความคิดอย่างหนัก และเป็นสาเหตุของการเห็นภาพหลอน อารมณ์แปรปรวน ที่แย่กว่านั้น ดูเหมือนว่า “ไทป์ห้า” ในระดับนี้ควบคุมการคิดของตนไม่ได้ เหมือนกับว่าความคิดของตนเป็นบุคคลอีกคนหนึ่ง ที่ควบคุมไม่ได้ แต่กลับย้อนตน ความกลัวที่ตนสร้างขึ้นกำลังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

ความคิดของพวกเขาเริ่มไม่มีเหตุผล เช่นอาจคิดว่าพฤติกรรมของนก ใช้ทำนายทิศทางทางการเมืองได้ ในหัวคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาแต่ล้วนแล้วแต่ไม่สร้างสรร และยิ่งทำให้รู้สึกกลัว แต่ก็หยุดไม่ได้ พวกเขาไม่ยอมรับความช่วยเหลือใด ๆ จากใคร เพราะนั้นคือการตอกย้ำถึงความไร้สมรรถภาพของตัว

ระดับเก้า “คนหลุดโลก”

ในระดับนี้ “ไทป์ห้า” ยังคงอาศัยการแยกตัวที่เคยใช้เป็นทางสยบความกลัวอยู่แต่ไม่ได้ผลอะไรอีกต่อไป ความกลัวทำให้ “ไทป์ห้า” รู้สึกว่าไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัยสำหรับตนหลงเหลืออยู่ แม้แต่ในใจ และตนก็ไม่มีความสามารถที่จะปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยได้อีกแล้ว มีทางออกเหลืออยู่เพียงสองทาง หนึ่งคือฆ่าตัวตาย (“ไทป์สี่” ในระดับนี้ก็คิดฆ่าตัวตาย แต่เพราะเกลียดตัวเอง และเคียดแค้นคนที่ทำให้ตนต้องเจ็บอยู่ในใจ แต่ “ไทป์ห้า” ฆ่าตัวตายเพื่อหนีชีวิตที่ไร้ค่าและน่าสะพรึงกลัว “ไทป์ห้าปนสี่” และ “ไทป์สี่” with “ไทป์ห้า”-wing จะรู้สึกทั้งสองอย่าง) ในเมื่อทุกอย่างไม่น่าพิศมัย ก็จำต้องตัดขาดจากทุกสิ่ง

หากไม่ฆ่าตัวตาย พวกเขาจะเลือกอีกทางหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาเรื่องความวิตกจริตที่มากเกินไป วิธีนั้นก็คือ การแบ่งสติสัมปัชชญะของตนออกเป็นสองส่วน และเอาตัวเข้าอยู่ในส่วนที่ตนรู้สึกปลอดภัย หรือก็คือการแยกตัวออกจากตัวเอง อย่างพ่อที่พยายามลืมการตายของลูกที่ตนรัก ด้วยการตัดขาดจากทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับลูก ทำชีวิตให้มีแต่ความว่างเปล่า และเริ่มมีการของคนหลุดโลก หรือ Schizophrenia ซึ่งเกิดจากความเครียดจากการแยกตัวจากสังคม และอาการอ่อนล้าทางกายที่เป็นผลมาจากการใช้ความคิดฟุ้งซ่านมากเกินไป ส่งผลให้สารเคมีในสมองเสียความสมดุล “ไทป์ห้า” เป็นไทป์ที่เสี่ยงต่อการเป็น Schizophernia มากที่สุด (มีการตั้งสมมติฐานว่า ยีนที่ทำให้คนเป็น Schizophernia กับยีนที่ทำให้คนมีบุคลิกเป็น “ไทป์ห้า” อาจเป็นยีนตัวเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ยังคงทำการวิจัยเรื่องนี้อยู่) บางเวลา “ไทป์ห้า” ระดับนี้ก็เป็นแค่ “ไทป์ห้า” ที่มีสุขภาพจิตในระดับเสื่อม เมื่อถึงจุดที่ทนไม่ได้ในบางเวลา ก็กลายไปเป็น Schizophernia กลับไปมา

ในระดับนี้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการใช้สติปัญญาที่มีอย่างสิ้นเชิง แยกตัวจากสังคม จากตัวเอง และจากความคิดของตัวเอง พวกเขาไม่คิด ไม่รู้สึก และไม่ทำอะไรอีกต่อไป การที่พวกเขาแยกตัวจากสังคมไปตั้งหลัก เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัว ได้ทำให้พวกเขาสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปอย่างสมบูรณ์ในที่สุด กลายเป็นคนที่หมดทางช่วยเหลือ ไร้สามารถ พึ่งตัวเองไม่ได้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่พวกเขากลัวมากทีสุด พวกเขาไม่มีใครเหลืออีกแล้ว ่ทั้งนี้ก็เพราะการแยกตัวของตนแท้ ๆ

พัฒนาการ

“ไทป์ห้า” ไปสู่ “ไทป์เจ็ด”

เริ่มจากระดับ สี่ “ไทป์ห้า” ในสภาวะกดดันเริ่มมีนิสัยของ “ไทป์เจ็ด” ให้เราได้เห็น พวกเขาหลีกหนีผู้คน และการกระทำที่กลัวว่าจะทำไม่ได้ เริ่มสนใจอะไรในทางลึกและแคบมากขึ้น นิสัยของ “ไทป์เจ็ด” ที่รนราน ไม่อยู่กับที่เพราะความวิตกกังวลเริ่มเผยออกมา ในระดับสี่ “ไทป์ห้า” แสวงหาความรู้อย่างไม่ลดละ อาการของ “ไทป์เจ็ด” ทำให้พวกเขาแสวงหาความรู้หลายเรื่อง จากด้านหนึ่งก็เปลี่ยนไปอีกด้วยหนึ่ง หาสิ่งที่ชอบจริง ๆไม่ได้สักที การหาความรู้หลายด้านอย่างไม่หยุดยั้งไม่เคยทำให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจแต่อย่างใด

ในระดับห้า “ไทป์ห้า” หมกมุ่นกับโครงการส่วนตัว และอยู่กับการใช้ความคิดมากกว่าอยู่กับปัจจุบัน เมื่อเกิดความวิตกกังวล พวกเขาเริ่มหมกมุ่นกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ เช่นการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ ภาพยนตร์ นิยายวิทยาศาสตร์ สยองขวัญ ฯลฯ บางทีก็ปล่อยใจ มีมุขตลกที่หลุดโลกออกมาให้คนรอบข้างประหลาดใจ เมื่อเครียด พวกเขาอาจพัฒนารสนิยมในการเที่ยวกลางคืนขึ้น พวกเขาชอบสำรวจภัตตาคาร บาร์ หรือไนท์คลับ อย่างลับ ๆโดยที่ไม่มีใครรู้

ในระดับหก พวกเขาหวาดวิตกมากขึ้น และเริ่มมีอาการสิ้นหวังกับการไคว่คว้าหาความชำนาญพิเศษให้กับตัวเอง เริ่มปกป้องความคิดของตัวอย่างรุนแรง ความบ้าของ “ไทป์เจ็ด” สร้างความคิดขวางโลกให้พวกเขามากขึ้น บางคนอาจมาว่าพวกเขาดูมันส์ ๆดีในระดับนี้ แต่หลายคนก็จะเริ่มออกห่าง พวกเขาเริ่มพึ่งยาเสพติดเพื่อระงับความวิตกกังวล ยอมทุ่มให้กับอะไรก็ตามที่ลดความกลัวและความวิตกกังวลให้ตนได้ แม้จะต้องใข้เงินมากและไม่ถาวรก็ตาม

ในระดับเจ็ด “ไทป์ห้า” แยกตัวจากโลกภายนอก และเริ่มมองโลกในแง่ร้าย อาการของ “ไทป์เจ็ด” ทำให้พวกเขาปลดปล่อยความกลัวออกมาในรูปแบบของพฤติกรรมปลดปล่อยสารพัดรูปแบบ เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่รับผิดชอบต่อความบ้าที่ตนทำลงไป การตัดสินใจผิดพลาดและไม่มีเหตุผลโดยสิ้นเชิง อาจทำตัวเป็นเด็กปัญญาอ่อน เมื่อถูกผู้อื่นตำหนิในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

ในระดับแปด อาการบ้าๆ บอ ๆและความไม่รับผิดชอบเกิดขึ้น พวกเขาทำอะไรโดยไม่สนใจอันตรายที่จะเกิด อาจเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุโง่ ๆ พวกเขาเริ่มซึมเศร้าแต่วิปลาส พฤติกรรมเบี่ยงเบน และเป็นฮิสทีเรีย เอาแน่เอานอนไม่ได้

ในระดับเก้า พวกเขาหมดทางหนีความกลัว ไม่มั่นใจที่จะดำรงชีวิตต่อไป อาจทำอันตรายตนเองและคนรอบข้าง เพราะคิดว่าตนเองถึงทางตันแล้ว ไม่อาจหลีกหนีอันตรายไปได้ การฆ่าตัวตาย ทำร้ายร่างกายตัวเอง หรือการฆ่าคนอื่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้

“ไทป์ห้า” ไปสู่ “ไทป์แปด”

“ไทป์ห้า” คิดเสมอว่าตนยังรู้ไม่พอที่จะลงมือ พวกเขาจะรู้สึกปลอดภัยเมื่อรู้จักโลกมากพอ ในขณะที่กลับไม่รู้จักใจตัวเอง ในทางจิตวิเคราะห์ “ไทป์ห้า” คือผู้ที่มี id ที่เข้มแข็งกว่า ego ความก้าวร้าวและแรงขับภายในใจมีอิทธิพลเหนือจิตใจของพวกเขาอยู่เสมอ

ปัญหาเหล่านี้ไม่เกิดกับ “ไทป์ห้า” ในระดับดี เพราะพวกเขาไม่ได้รับรู้โลกด้วยการคิดอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนรับรู้เข้ามาด้วย จึงเลิกกลัวสิ่งรอบตัวและเรียนรู้ที่จะไว้ใจมัน ความมั่นใจในตัวเองจึงก่อตัวขึ้น เนื่องจากมีพฤติกรรมแบบ “ไทป์แปด”

เมื่อ “ไทป์ห้า” เข้าสู่ “ไทป์แปด” พวกเขารู้สึกว่า แม้ตัวจะยังรู้น้อย แต่มันก็มากกว่าใคร ๆเกือบทั้งหมด และยังตระหนักด้วยว่า คนเราไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกอย่างก่อนที่จะลงมือปฏิบัติ พวกเขาทำไปเรียนรู้ไป แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทาง จะรู้ก็ต่อเมื่อจำเป็นต้องรู้ ความรู้จะไม่ได้มาจากการสะสมความรู้ หรือท่องจำเรื่องต่าง ๆแต่เกิดจากการที่ได้สัมผัสกับโลกภายนอก พวกเขาไม่อยู่โดดเดี่ยวในโลกอย่างไร้ความหมาย แต่มีพลังอำนาจ และเป็นส่วนหนึ่งของมัน

พวกเขาลงมือทำด้วยความมั่นใจว่าตนรู้จริง และนำคนอื่นได้ แม้ว่าจะไม่รู้หมดทุกอย่าง ความรู้ของพวกเขาได้รับการตรวจสอบอยู่เสมอจากการลงมือปฏิบัติอย่างไม่เกรงกลัว ในที่สุดพวกเขาก็พบว่าตัวเองนี้ก็มีค่าต่อคนอื่น ความคิดที่มีค่าของพวกเขาได้รับการประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมขึ้นมา

ไทป์ย่อย

“ไทป์ห้าปนสี่” “ผู้ตะลึงโลก”

ลักษณะของ “ไทป์ห้า” และ “ไทป์สี่” ส่งเสริมกันหลายอย่าง ทั้งสองเป็นพวกใจลอย พวกเขาอยู่ในโลกของจินตนาการเพื่อปกป้องอัตตาของตัว และสร้างตัวตน พวกเขารู้สึกว่าตนต้องบรรลุอะไรสักอย่างให้ได้ก่อนที่จะเผชิญหน้ากับโลกภายนอก “ไทป์ห้า” ขาดความมั่นใจในการปฏิบัติ “ไทป์สี่” ขาดเอกลักษณ์ที่ตัวเองแน่ใจ “ไทป์ห้าปนสี่” จึงเข้าสังคมยาก ใช้อารมณ์และหันเข้าหาตัวเองมากกว่า “ไทป์ห้าปนหก” ความเป็น “ไทป์สี่” ทำให้พวกเขาสนใจเรื่องเกี่ยวกับจิตของมนุษย์ และมีทักษะเชิงศิลป์ เมื่อรวมกับ ความเจ้าปัญญาของ “ไทป์ห้า” จึงกลายเป็นไทป์ที่ลึกซึ้งที่สุดทั้งศาสตร์และศิลป์

ตัวอย่างได้แก่ Albert Einstein, Werner Heisenburg(นักฟิสิกส์), Friedrich Nietzsche(ปราชญ์เยอรมัน), Georgia O’Keeffe, John Cage, John Lennon, k. d. Lang(นักร้อง), Laurie Anderson, James Joyce, Emily Larson, Stephen King(นักเขียนนิยายสยองขวัญ), Tim Burton(ผู้กำกับภาพยนตร์), Clive Barker, Franz Kafka(นักเขียน), Umberto Eco, Jean-Paul Sartre, Oriana Fallaci, Glenn Gould, Peter Serkin(นักเปียโน), Hannah Arendt(นักปรัชญาการเมือ่ง), Kurt Cobain(นักร้อง) และ Vincent van Gogh

ในระดับดี พวกเขาใช้ ความรู้ผสมผสานกับสัญชาตญาณ ความอ่อนไหวผสานกับความเข้าใจ ศิลปะผสานกับความคิด พวกเขามักเป็น นักเขียน ผู้กำกับภาพยนตร์ ดีไซเนอร์ นักดนตรี นักแต่งเพลง ผู้ออกแบบท่าเต้น ฯลฯ พวกเขามักดูไม่เหมือน “ไทป์ห้า” นัก เพราะไม่ได้มีลักษณะของนักวิชาการเต็มตัว และมักใช้จินตนาการอย่าง “ไทป์สี่” มากกว่าการใช้เหตุผล หรือปัญญาเป็นหลักอย่าง “ไทป์ห้าปนหก” ถ้าพวกเขามีอาชีพในทางวิทยาศาสตร์ พวกเขาจะสนใจเรื่องที่ต้องใช้ความเข้าใจภาพรวม หรือสัญชาตญาณ มากกว่าการทดลองหรือการเก็บข้อมูล พวกเขามองหาความงามในสมการคณิตศาสตร์ ความสามารถในการใช้ญาณพิเศษ เป็นจุดเด่นของพวกเขาในระดับนี้ มันช่วยให้พวกเขาค้นพบความรู้ใหม่ ๆที่ไม่มีใครคิดมาก่อน ความเป็น “ไทป์สี่” สร้างความปรารถนาให้แก่พวกเขาที่จะสร้างวิสัยทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง นอกเหนือจากความอยากรู้อยากเห็นที่มีในตัวของ “ไทป์ห้า” ผลก็คือการง่วนอยู่กับรูปแบบที่คุ้นเคยจนสามารถมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เคยเห็นมาก่อนได้ พวกเขาจึงอาจสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆกับโลกในแนวทางที่ตนสนใจได้

ในระดับปานกลาง “ไทป์ห้าปนสี่” เริ่มใช้อารมณ์ความรู้สึกมากขึ้น ทำให้ยากที่ทำงานร่วมกับคนอื่นได้เป็นเวลานาน ๆพวกเขาเกลียดการถูกตีกรอบพฤติกรรม พวกเขาไม่อยู่กับปัจจุบัน เพราะชอบใช้ความคิด และเพราะหมกหมุ่นอยู่กับตัวเอง ชอบหันเข้าหาตัวเอง พวกเขาเป็นคนที่อ่อนไหวต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ผลงานหรือความคิดของตนอย่างมาก เพราะมันกระทบกระเทือนความเป็นตัวตนของพวกเขาโดยตรง “ไทป์สี่” ระดับปานกลางเป็นคนโรแมนติก แต่เมื่อผสมผสานกับความเป็น “ไทป์ห้า” พวกเขาจะออกไปทาง ช่างฝัน และคิดอะไรเหนือจริง อาจทำอะไรไม่ค่อยมีประโยชน์ในทางปฏิบัติ เช่น อ่านหนังสือตลอดเวลา เล่นแต่เกมส์ฝึกสมอง เป็นนักตอบปัญหาความรู้รอบตัว เป็นต้น พวกเขามักชอบเรื่องลึกลับ ดำมืด วิตกกังวลกับความเป็นไปได้ต่าง ๆในชีวิต และหาทางออกโดยการหาความสุขจากเรื่องเศร้า และเอาแต่ใจตัว จึงเสี่ยงต่อการใช้ยาเสพติด เหล้า และการปลดปล่อยทางเพศ

ในระดับเสื่อม พวกเขามีอาการซึมเศร้าโดยเจตนา แต่ก้าวร้าวเป็นระยะ ๆ มีความอิจฉาริษยาคนอื่นกอปรกับการตำหนิตัวเอง ความคิดที่ขัดแย้งในสมองทำให้รู้สึกสิ้นหวัง และอารมณ์เศร้าที่เกิดขึ้นก็ทำให้ไม่สามารถใช้ความคิดได้ตลอดรอดฝั่ง พวกเขามองโลกในแง่ร้ายอย่างมาก หลีกหนีสังคม ติดยา และซึมเศร้าเรื้องรัง ตลอดจนมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตาย

.ไทป์ห้าปนหก “นักไขปัญหา”

พวกเขาดูเป็น “ไทป์ห้า” จริง ๆ เป็นผู้สนใจวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เป็นนักเคราะห์ และนักรวบรวมข้อมูล เก่งในการแก้ปัญหา และเข้าใจการทำงานของสิ่งต่าง ๆ นิสัยที่รวมกันของ “ไทป์ห้า” กับ “ไทป์หก” ได้สร้างปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นกันเอง และรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ในกับพวกเขาที่สุด ยากที่จะตีสนิทกับพวกเขา เป็นไทป์ที่ช่างคิดที่สุด และไม่ค่อยใช้อารมณ์ความรู้สึก พวกเขาไม่กล้าไว้ใจใคร ไม่เสี่ยงที่จะมีความสัมพันธ์ อย่างไรก็ดี ความเป็น “ไทป์ห้า” ขัดแย้งกับ “ไทป์หก” อยู่ภายในด้วย เพราะ “ไทป์ห้า” รู้สึกปลอดภัยเมื่อแยกตัว แต่ “ไทป์หก” รู้สึกปลอดภัยเมื่อได้ร่วมงานกับคนอื่น พวกเขาจึงมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดูแปลก ๆแต่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นสาระสำคัญสำหรับตัวเขา

ตัวอย่างได้แก่ Bill Gates, Stephen Hawking, Sigmund Freud, Simone Weil, Jacob Bronowski, Charles Darwin, Alfred Hitchcock, Edward O.Wilson, Karl Marx, James Watson, Ursula K. LeGuin, B. F. Skinner, Isaac Asimov, Howard Hughes, Doris Lessing, Cynthia Ozick, Bobby Fischer, Ezra Pound, Theodore Kaczynski

ในระดับดี พวกเขาหันเข้าหาคนอื่น และอยู่กับโลกภายนอกมากกว่า “ไทป์ห้าปนสี่” ไม่คิดมาก ชอบสังเกตและเข้าใจสิ่งรอบตัว เห็นโลกอย่างทะลุปรุโปร่ง เป็นการผสมผสานระหว่างการค้นหาความจริงของ “ไทป์ห้า” และการหาความแน่นอนของ “ไทป์หก” ผลก็คือ ความสามารถในการหาข้อสรุปที่ได้จากการรวบรวมข้อมูล ตลอดจนทำนายเหตุการณ์โดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่ พวกเขามักชอบเรื่องเทคนิค วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ ปรัชญา รวมทั้งการประดิษฐ์และซ่อมแซมสิ่งของ ความเป็น “ไทป์หก” ช่วยพวกเขาในเรื่องการติดต่อกับคนอื่น ความมีวินัยและมุมานะต่องานที่ทำ หามีพรสวรรค์มากพอ พวกเขาเป็นผู้ที่จะสามารถเอาเรื่องทางเทคนิคมาประยุกต์ให้เกิดผลทางธุรกิจ เป็นผู้ที่มองวัตถุประสงค์มากกว่าบุคคล แม้ว่าโดยเนื้อแท้แล้วจะเป็นคนที่ให้ค่ากับบุคคลบางคนในชีวิตมาก อาจเป็นคนคิดมาก แต่ไม่แสดงความรู้สึกออกมา เป็นคนขี้เล่นอย่างใช้สติปัญญา มีอารมณ์ขัน และมีเสน่ห์หลายอย่าง ใครก็ตามที่พวกเขาไว้วางใจ จะพบตัวตนที่เป็นมิตรและผูกผันที่ซ่อนอยู่ของพวกเขา และนี่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาอย่างให้คนอื่นมองตัวเขา แม้ว่าบางทีพวกเขาจะวางตัวในสังคมไม่เก่ง คนทั่วไปมักเห็นความกระตือรือร้นในการเข้าหาคนของพวกเขา แต่ไม่อาจช่วยอะไรได้

ในระดับปานกลาง ความสัมพันธ์ของพวกเขามักมีปัญหา แม้ว่าความเป็น “ไทป์หก” จะเพิ่มความสามารถในการจัดการและบุคลิกภาพที่น่าสนใจให้กับเขา แต่มันก็เสริมความกลัว และความวิตกกังวลให้พวกเขาด้วย พวกเขาไม่รู้จะจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตนอย่างไร โดยเฉพาะในเรื่องการแสดงออก พวกเขาไม่ค่อยใส่ใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ดูเป็นพวกสติเฟื่อง เข้าสังคมไม่เป็น อาจเป็นพวกที่ใจลอยอย่างมาก พวกเขามักทิ้งให้ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์คาราคาซัง โดยหาทางออกด้วยการหมกมุ่นกับตัวเองมากขึ้น ก้าวร้าวอย่างเงียบ ๆไม่ยอมจัดการกับปัญหาอย่างเด็ดขาด บางทีก็ดื้อร้นในเรื่องที่ไม่มีเหตุผล ยึดมั่นในจุดยืนของตัวเอง และไม่พอใจคนที่ไม่เห็นด้วยกับตน ในขณะที่ “ไทป์ห้าปนสี่” จะใช้การทำลายความแน่ใจของคนอื่น

ในระดับเสื่อม พวกเขาระแวงผู้คน มีปฏิกิริยาที่รุนแรงคลุ้มคลั่ง หวาดกลัวความผูกผันใกล้ชิด ปฏิเสธความช่วยเหลือจากผู้ที่ปรารถนาดี ทั้งที่จิตใต้สำนึกกลับต้องการ กลัวคน กลัวสถานที่ คิดไปเองว่ามีคนทำร้าย มีโอกาสเป็นบ้าได้

บทสรุป

โดยทั่วไปแล้ว “ไทป์ห้า” มีบุคลิกภาพที่มีความขัดแย้งหลายอย่าง การคิดกับการปฏิบัติ การหลงใหลสรรพสิ่งกับการหวาดกลัวความเป็นจริง การอยากเข้ากับคนและการปฏิเสธคน รวมทั้งความรักกับความเกลียด สิ่งเหล่านี้เกิดจากการที่ พวกเขาสองจิตสองใจกับพ่อแม่ตน โชคไม่ดีที่ “ไทป์ห้า” จดจ่ออยู่กับการป้องกันตัวจากอันตรายภายนอก มากเสียจนออกห่างจากสิ่งที่ดี ๆของโลกภายนอกด้วย ในที่สุดก็ขาดศรัทธาต่อสิ่งต่าง ๆและไม่สามารถมองหาเอกลักษณ์ให้กับตัวเองได้ สิ่งที่ “ไทป์ห้า” กลัวที่สุด คือการเป็นคนไร้สมรรถภาพ จึงหนีออกจากทุกสิ่ง และเข้าสู่โลกของความคิด ซึ่งทำให้ขาดความปลอดภัย และไม่มีพลังในการปกป้องตนให้ปลอดภัยเข้าจริง ๆ พวกเขาจะหลงโลกแห่งความคิดอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่มีทางหวนกลับในที่สุด
http://dekisugi.net/enneagram/profiles.jsp?id=5

Leave a Reply