ขจัดความเครียดในการทำงาน…..ด้วยความคิดเชิงบวก (Positive Thinking


อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์
p_arporn11@hotmail.com

ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร ดิฉันเชื่อว่าคุณเคยประสบปัญหากับภาวะความเครียดในการทำงาน (Job Stress) มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ซึ่งอาการที่แสดงออกมานั้นก็จะแตกต่างกันไป เช่น ปวดหัว นอนไม่หลับ มือไม้สั่น เหงื่อออกเสมอ กินอาหารไม่ได้ ท้องอืด ท้องเสีย เป็นโรคกระเพาะ เป็นต้น บางคนถึงขนาดเรียกภาวะดังกล่าวว่า “โรคเครียด”

คุณเคยค้นหาสาเหตุบ้างไหมว่าความเครียดที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเองนั้น…เกิดจากอะไร? คุณรู้ไหมว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณมีอาการต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงว่าคุณกำลังเครียดอยู่นั้น ก็คือ ความวิตกกังวล ซึ่งเป็นความคิดของ ตัวคุณเองในด้านลบที่เกิดขึ้น (Negative Thinking) ไม่ว่ากับตัวคุณเอง คนรอบข้าง หรือปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับ ตัวคุณ เช่น “ฉันทำงานนั้นไม่ได้”, “ฉันไม่ดี”, “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นฉันผิดเอง”, “ฉันมันไม่ฉลาด”, “ฉันเป็นคนทำให้งานไม่สำเร็จ” หรือ “หัวหน้างานไม่ดี”, “เพื่อนร่วมงานไม่เก่ง” เป็นต้น ซึ่งความคิดด้านลบเหล่านั้นจะทำให้คุณไม่มีพลังใจในการทำงาน คุณรู้สึกหดหู่และสิ้นหวัง จนในที่สุดมันก็จะส่งผลทำให้คุณทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จ (คิดอะไร ก็จะได้สิ่งนั้น)

คุณเคยหาทางแก้ไขปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้นบ้างไหม ดิฉันเชื่อว่าคุณทุกคนคงไม่อยากให้ภาวะความ เครียดเกิดขึ้นกับตัวคุณเองอย่างแน่นอน มีหลายวิธีที่สามารถลดความเครียดลงได้ บางคนหาเวลาไปออกกำลังกาย บางคนนั่งสมาธิ ฝึกโยคะ เต้นแอโรบิค หรือเล่นกีฬาสุดโปรดของคุณ ซึ่งคุณได้พยายามหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อลดความเครียดที่เกิดขึ้น แล้ววิธีการต่าง ๆ เหล่านี้สามารถทำให้คุณสามารถขจัดภาวะความเครียดได้บ้างไหม…. บางคนอาจทำได้ ….แต่บางคนอาจทำไม่ได้

ดิฉันมีวิธีการหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถขจัดปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้น นั่นก็คือความคิดของตัวคุณเอง….ลองเปลี่ยนความคิดเชิงลบเป็นความคิดเชิงบวก (Positive Thinking) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนการรับรู้ของตัวคุณเองโดยอาจจะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับบางคน แต่ไม่ถึงขนาดว่าทำไม่ได้….ทุกคนทำได้….ฝึกคิดใหม่ ทำใหม่…..ของแบบนี้อาจต้องใช้เวลา… แต่ ไม่นานเกินรอนะคะ

การเปลี่ยนการรับรู้จากด้านลบเป็นด้านบวกนั้นควรเริ่มที่ตรงไหน……มีเรื่องอะไรบ้าง…..ดิฉันขอสรุปสิ่งที่คุณควรเปลี่ยนความคิดจากด้านลบเป็นด้านบวกด้วย “หลัก 5 Yours” ดังนี้

  1. ตัวคุณเอง (Yourself) ก่อนที่คุณจะมองคนอื่นคุณควรมองตัวคุณเองก่อน ความเคารพในตนเองเป็นการยอมรับในศักยภาพและความสามารถของตัวคุณ คุณทำได้ คุณดี ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น คุณควรจะฝึกพูดกับตัวเองอยู่เสมอ เพื่อเป็นการย้ำจิตของคุณอยู่ตลอดเวลา….เช่น I am good, I am better, I am best
  2. หัวหน้างานของคุณ (Your Boss) หัวหน้างานเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่อาจทำให้คุณเกิดภาวะความเครียดได้ หัวหน้างานอาจพูดไม่ดีกับคุณ ต่อว่าคุณเสมอ ตอกย้ำว่าคุณไม่ฉลาด จู้จี้จุกจิก ตามงานทุก 5 นาที โยนงานใส่คุณ คุณเคยเจอเหตุการณ์เหล่านี้บ้างไหม ไม่ต้องใส่ใจนะคะ ถ้าคุณเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ให้คิดเสียว่าหัวหน้างานของคุณอาจเจอปัญหาทางบ้าน มีเรื่องกับภรรยา/สามีที่บ้าน เป็นต้น ดิฉันอยากให้คุณคิดเสมอว่าหัวหน้างานคุณไม่ใช่เจ้าชีวิตคุณ คุณไม่อยู่กับเค้าตลอดเวลาและสักวันหนึ่งคุณหรือหัวหน้างานคุณอาจย้ายสถานที่ทำงานไป แล้วทำไมคุณต้องเก็บเอาปัญหาของหัวหน้างานคุณมาเป็นอารมณ์ด้วย
  3. เพื่อนร่วมงานของคุณ (Your Colleague) คุณคงไม่ทำงานคนเดียว..ใช่ไหมคะ ดังนั้นเพื่อนร่วมงานของคุณก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณเครียดได้ เช่น เพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ เห็นแก่ตัว ไม่ชอบทำงาน เอาแต่ประจบหัวหน้า ชอบนินทาผู้อื่น ชอบดูถูกในความสามารถของคนอื่น ชอบพูดจาให้ร้ายคนอื่นลับหลัง..อะไรทำนองนี้…คุณเคยเจอบ้างไหม ถ้าคุณเจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้ดิฉันอยากให้คุณคิดเสมอว่าเค้าไม่ใช่เพื่อนสนิทคุณที่คุณต้องใส่ใจอะไรมากมาย เค้าเป็นเพียงแค่คนคนหนึ่งที่คุณต้องทำงานร่วมด้วย…เท่านั้นเอง…. การเจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้ ดิฉันคิดว่าดีเสียอีกชีวิตมีรสชาด มันแปลกดีนะ…คนแบบนี้ก็มีด้วย (คิดด้านบวกไว้นะคะ)
  4. งานของคุณ (Your Job) ความเครียดที่เกิดจากการทำงานของคุณ…มี 2 รูปแบบ คุณได้รับมอบหมายให้ทำงานง่ายจนเกินไป หรือ คุณได้รับมอบหมายให้ทำงานยากและท้าทายเกินไป ทั้งนี้ทุกคนมีความต้องการและความคาดหวังในการทำงานที่แตกต่างกันไป บางคนชอบทำงานง่าย ๆ แต่บางคนชอบงานที่ท้าทาย ซึ่งดิฉันคิดว่างานสมัยนี้ค่อนข้างหายาก คนบางคนอาจไม่สามารถเลือกงานได้แต่เค้าสามารถเลือกที่จะรักงานที่ทำได้ อย่ามัวแต่คิดว่าเราไม่ชอบ ไม่รักงานนั้น ทั้งนี้งานที่คุณไม่ชอบตอนนี้อาจจะเป็นงานที่คุณถนัดมากและสร้างรายได้ให้กับตัวคุณเองอย่างมากมายในอนาคต (ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน) ดังนั้นไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม ขอให้คิดเสมอว่านั่นเป็นงานที่คุณต้อง รับผิดชอบ จงทำให้มันดีที่สุดเท่าที่ความสามารถของคุณจะทำได้ ควรเอาเวลาไปนั่งคิดหาทางปรับปรุงการทำงานของคุณจะดีกว่า อย่าไปคิดว่า ฉันไม่ชอบ ฉันจะไม่ทำ เพราะมันจะทำให้คุณไม่ใส่ใจที่จะคิดหาทางพัฒนางานของคุณเลย
  5. ผลตอบแทนของคุณ (Your Compensation) ดิฉันยอมรับว่าเงินเดือนและผลตอบแทนต่าง ๆ ที่คุณได้รับอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณเครียดได้ คุณอาจได้รับเงินเดือนน้อยกว่าเพื่อนร่วมงานของคุณทั้ง ๆ ที่คุณทำงานมากกว่าพวกเค้า ดิฉันอยากให้คุณมองที่สาเหตุก่อน..ว่าเป็นเพราะอะไร ถ้าเป็นเพราะผลจากการทำงานของคุณ ดิฉันอยากให้คุณพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานของคุณก่อน (แล้วค่อยมาดูต่อไปว่า คุณจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่) แต่ถ้าเป็นเพราะหัวหน้างานของคุณไม่ยุติธรรม บอกตามตรงนะคะ..มันคงแก้ไขยาก….แต่ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง….ดิฉันอยากให้คุณตั้งใจทำงาน มุมานะในการทำงานให้สำเร็จ ขยัน อดทน และมีความรับผิดชอบในการทำงานให้มากขึ้น ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้….สักวันหนึ่งหัวหน้างานหรือเพื่อนร่วมงานของคุณจะต้องเห็น..ถ้าไม่มีใครเห็นคุณก็เห็นตัวคุณเองและรู้ตัวเองเสมอว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ (คิดทางด้านบวกไว้นะคะ) ดิฉันไม่อยากให้คุณคิดว่าเงินเดือนได้รับแค่นี้…ก็ทำเท่านี้….การทำงานมากกว่าที่ได้รับมอบหมายให้เป็นสิ่งที่ดี เป็นการสร้างคุณค่าให้กับตนเอง (Value Added) มันอาจไม่เห็นผล ณ ตอนนี้ แต่ในอนาคตไม่แน่ไม่มีใครบอกได้ และ รับประกันได้ว่า ณ ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าไล่คุณออกอย่างแน่นอนเพราะคุณสามารถทำงานได้มากมาย …ไม่ต้องกลัวตกงานเลย (มีงานทำแน่นอน แต่เงินเดือนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คุณต้องตัดสินใจเอาเอง ลองถามตัวคุณเองก่อนว่าคุณอยากตกงาน..หรือมีงานทำ…”อย่าลืมว่ายุคสมัยนี้งานเลือกคน มากกว่าคนเลือกงาน” หวังว่าคุณคงมีคำตอบแล้วนะคะ)

ดังนั้น อย่ามัวแต่โทษตนเองหรือโทษผู้อื่น….เพราะนั่นเป็นความคิดด้านลบ ลองเปลี่ยนมาคิดด้านบวกดู…โดยมองสิ่งต่าง ๆ ในทางที่ดีและไม่ควรเก็บปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาคิด วิตกกังวล (มันผ่านมา เดี๋ยวมันก็ผ่านไป)…..ตัวคุณเองจะเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความเครียด…มิใช่ใครอื่น….แก้ที่ความคิดของตัวคุณจะดีกว่า เพราะนั่นจะเป็นยารักษาโรคเครียดที่ดีที่สุดและได้ผลมากที่สุด

 

 

http://www.hrcenter.co.th/HRKnowView.asp?id=151

One Response

  1. Pavita October 24, 2007

Leave a Reply